วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้

วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้


   (ภาพการรำโนรา วัฒนธรรมภาคใต้)

ภาคใต้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน  เป็นแหล่งรับอารยธรรมจากพระพุทธศาสนา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  และศาสนาอิสลาม ซึ่งได้หล่อหลอมเข้ากับความเชื่อดั่งเดิม  ก่อให้เกิดการบรูณาการเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
1.ด้านอาหาร  ได้แก่  ประเพณีกินผักหรือที่ชาวบ้านและชาวจีนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตเรียกกันว่า  เจี๊ยฉ่าย
เป็นประเพณีที่คนจีนนับถือมาช้านาน  โดยเฉพาะคนจีนฮกเกี้ยนวันประกอบพิธีจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี
     ประเพณีกินผักได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านไล่ทู (ไนทู)  ซึ่งปัจจุบัน คือ หมู่บ้านกะทู้  ตำบลกะทู้
จังหวัดภูเก็ต  ในสมัยนั้นคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่อพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ในประเทศไทยต่อมาได้มีคณะงิ้วจากประเทศจีนเดินทางมาเปิดการแสดงในหมู่บ้าน  แต่เมื่อทำการแสดงไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน  ทำให้คณะงิ้วนึกขึ้นได้ว่าพวกตนไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยฉ่าย  (กินผัก)
ที่เคยปฏิบัติกันมาทุกปีขณะอยู่ที่เมืองจีนเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย  คณะงิ้วและชาวบ้านจึงได้ตกลงใจกันประกอบพิธีเจี๊ยฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้ว  ต่อมาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในหมู่บ้านก็หายไปหมดสิ้น
     ปัจจุบันพิธีกินผัก (เจี๊ยฉ่าย) ของชาวภูเก็ตได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาทุกปี  ถือว่าเป็นประเพณีอันดีงามของชาวจังหวัดภูเก็ต
     อนึ่ง  การใช้ประโยชน์จากพืชผักพื้นบ้านภาคใต้ในมิติวัฒนธรรมพบว่า  พืชผักจำนวน 103 ชนิด  ในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น  มีจำนวน 47 ชนิดที่สามารถนำมาจำแนกตามคุณประโยชน์  ดังนี้
1.พืชผักที่มีสรรพคุณทางสมุนไพร  22 ชนิด  เช่น  กำลังความถึก ชะเมา ชะเลือด เดือยบิด ตาก ตีเมียเบื่อย่าง เถาคัน เป็นต้น
2.พืชผักที่มีสรรพคุณสมุนไพร  และใช้ประโยชน์ในบ้านหรือทางสถาปัตยกรรม 13 ชนิด เช่น ก้างปลาแดง
ขลู่จิกง่วงนอน จิกนา ชะมวงควาย นนทรี ผักหนาม เป็นต้น
3.พืชผักพื้นบ้านที่ใช้ประโยชน์ในบ้านหรือทางสถาปัตยกรรม 12 ชนิด  เช่น กะสัง  ชีเงาะ ตุมพระ น้ำนอง
ผักกูดทะเล หงอนไก่ เป็นต้น
    นอกจากนี้  พืชผักพื้นบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 103 ชนิด ที่ชาวบ้านใช้บริโภคเป็นประจำในครัวเรือน  พบว่า  มีการนำไปใช้ประโยชน์เป็นอาหารได้ 3 กลุ่ม  คือใช้ปรุงอาหาร  ใช้รับประทานสด ลวก ดอง (ผักเหนาะ)  และใช้ได้ทั้งปรุงอาหารและรับประทานสดก็ได้
     พืชผักพื้นบ้านต่าง ๆ นั้น  เมื่อบริโภคแล้วจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายช่วยควบคุมภาวะธาตุในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล  ทำให้ร่างกายแข็งแรง  ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยข้อมูลดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตแห่งการพึ่งตนเองตามแนวทางการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภค
2.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น ประเพณีลากพระ ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นต้น
1.ประเพณีลากพระ  ชักพระ  หรือแห่พระ  ชาวใต้ปฏิบัติกันมานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล  ชาวบ้านที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะพร้อมใจกันอัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดขึ้นประดิษฐานบน  นมพระ” หรือบุษบกที่วางอยู่ตรงกลางร้านไม้  ร้านไม้นี้จะวางไว้บนไม้ขนาดใหญ่สองท่อนอีกทีหนึ่ง หรือใช้นมพระวางบนล้อเลื่อน รถ หรือเรือ แล้วลากหรือชักแห่ไปตามถนนหนทางตามแม่น้ำลำคลอง  หรือริมฝั่งทะเล  เคยมีผู้สันนิษฐานว่าประเพณีลากพระเกิดขึ้นในประเทศอินเดียตามลัทธิของพราหมณ์ที่นิยมเอาเทวรูปออกแห่แหนในโอกาสต่างๆ  และชาวพุทธได้นำเอาประเพณีนั้นมาดัดแปลง
     ในกรณีภาคใต้ของไทย  ชาวบ้านจะตระเตรียมงานในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และเริ่มทำการลากพระในตอนเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 อันเป็นวันออกพรรษาโดยประชาชนจะเดินทางไปวัดเพื่อนำภัตตาหารไปใส่บาตรที่จัดเรียงไว้ตรงหน้าพระลาก เรียกว่า ตักบาตรหน้าล้อ
     เมื่อพระฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว  ชาวบ้านจะนิมนต์พระภิกษุในวัดขึ้นนั่งประจำเรือพระ  พร้อมทั้งอุบาสกและศิษย์วัดที่จะติดตามและประจำเครื่องประโคม  อันมีโพน ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันลากพระออกจากวัด  ขณะที่ลากพระไปประชาชนที่รออยู่จะนำต้ม (ข้าวเหนียวห่อใบกะพ้อทำเป็นรูปสามเหลี่ยม) มาแขวนที่ล้อเลื่อนหรือรถเพื่อทำบุญกันไปตลอดทาง  การลากพระนี้อาจขยายออกเป็น
– 3  วัน หรือ 7 – 10 วัน  แล้วแต่ท้องที่
2.ประเพณีสารทเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่  ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์  ฮินดู  จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
3.ด้านศิลปะ  ได้แก่  การรำโนราซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่เก่าแก่ของภาคใต้  โดยนอกจากจะแสดงเพื่อความบันเทิงแล้วยังแสดงเพื่อประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า โนรา  โรงครูหรือโนราลงครู  อีกด้วย  พิธีกรรมนี้มีจุดมุ่งหมายในการจัดเพื่อไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา  อันเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อครู  เพื่อทำพิธี
 แก้บน  เพื่อทำพิธียอมรับเป็นศิลปินโนราคนใหม่  และเพื่อประกอบพิธีเบ็ดเตล็ดต่างๆ
     ประเพณีการรำโนรามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวบ้านทั้งนี้  เพราะโนราโรงครูเป็นพิธีกรรมที่เป็นความเชื่อทางพระพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน  อันหมายถึงความเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาซึ่งผสมผสานเข้ากับลัทธิพราหมณ์-อินดู  และความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์หรือผีสางเทวดา  อันรวมไปถึงการเซ่นไหว้บรรพบุรุษการเข้าทรง  และพิธีกรรมทางความเชื่ออื่นๆ
     นอกจากนี้  ประเพณีของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ เช่น การเกิด โกนผมไฟ แต่งงาน การตาย เป็นต้น
ล้วนมีเอกลักษณ์พิเศษและเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา  เพราะในแต่ละประเพณีที่กล่าวถึงจะได้รับการยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย
     ประเพณีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อ และการปฏิบัติเฉพาะอย่างเห็นได้ชัด เช่น ประเพณีการทำศพ  สิ่งที่ต้องกระทำ คือ การอาบน้ำศพ ห่อศพ ละหมาดศพ และฝังศพ ถ้าไม่กระทำเชื่อว่าจะบาปกันทั้งหมู่บ้าน
     นอกจากประเพณีที่กล่าวถึงแล้วนั้น  ภาคใต้ของไทยยังมีประเพณีอื่นๆ อีก เช่น การตักบาตรธูปเทียนเป็นการทำบุญด้วยธูปเทียนและดอกไม้  เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา  เพื่อให้พระสงฆ์ที่จำพรรษานำธูปเทียนใช้บูชาพระรัตนตรัยตลอดพรรษา  ประเพณีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุเป็นประเพณีที่ชาวนครศรีธรรมราชร่วมมือร่วมใจกันบริจาคเงินทองตามกำลังศรัทธาซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเข้าเป็นแถบยาวนับร้อยเมตรแล้วใช้แถบผ้านั้นไปพับโอบรอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์  อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่นับถือของชาวใต้  ประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวโดยจังหวัดปัตตานีจะให้ความสำคัญกับงานนี้เป็นพิเศษ  ประเพณีลาซังซึ่งจัดขึ้นเพื่อบวงสรวงแสดงความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ เป็นต้น
     ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ และศาสนา  ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ  จึงถือเป็นหัวข้อที่น่าศึกษา  เพราะหากคนไทยและเยาวชนไทยตระหนักและเรียนรู้วัฒนธรรมไทย  จะก่อให้เกิดความสำนึกและความภูมิใจในความเป็นไทยอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ร่วมกัน และพัฒนาให้ทั่วทุกภูมิภาคของไทยเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น